ที่จริงแล้วชามที่ 14 นี้ควรจะเป็นก๊วยเตี๋ยวดู๋ดี๋ที่บางแสน เพราะเดิมตั้งใจไว้อย่างนั้น แต่เมื่อไปถึงร้านเขาไม่เปิด เรานินทากันว่าคุณน้าที่เป็นเจ้าของร้านหนีไปทานเจแล้ว เลยไม่ได้มาเปิดร้าน ตอนขับรถออกมาเธอหยุดตรงที่เดิมที่่เคยงอนคราวก่อน ก่อนจะบอกว่า
“ร้านปิดงั้นกลับ”
“เฮ้ย...งี้ได้ไงล่ะ” เราโวยวาย
“ก็ช่วยไม่ได้นี่” เธอตอบ
“งั้นเราไปเดินดูพระอาทิตย์ตกน้ำกันก่อนนะ” เราต่อรอง
เดินดูพระอาทิตย์ เดินที่ชายหาด ดูเปลือกหอยตัวเล็กๆ เด็กน้อยมาขายอะไรสักอย่างอ้อนวอนนานเนิน เธอเดินแยกออกไปเมื่อเห็นเราแกล้งเด็กน้อยนั้น
ขับรถไปทางแหลมแท่นเพื่อหาร้านที่เราเคยนั่ง จนสุดทางก็ไม่เห็น ขับกลับผ่านวงเวียนไปอีกด้านของหาด ถึงเจอร้านที่เราเคยมานั่ง เธอหัวเราะเมื่อเห็นชื่อร้านฮาเร็ม เธอบอกเธอไม่หิว เราเลยมานั่งที่โขดหินริมหาด ลมแรง เธอหนาว เราชวนเธอทานอะไรอีกครั้ง เธออยากซดอะไรร้อนๆ มากกว่า เธอไปที่เซเว่นแล้วเลือกบะหมี่ถ้วย มาม่ารสหมูสับ เติมน้ำร้อนในร้าน เราเดินไปซื้อไส้กรอกเพื่อมาใส่บะหมี่ และก็ไฮเนเก้นแพ็คคู่กับน้ำแข็ง
เรามาเปิดท้ายรถแล้วนั่งกันที่นั่น เธอนั่งซดบะหมี่ถ้วย และเล่าถึงเวลาที่รู้สึกหนาวก็อยากจะทานอะไรร้อนๆ อย่างนี้ เรานั่งฟังไป ดื่มเบียร์ไป ทานไส้กรอกไป เธอยื่นถ้วยบะหมี่มาให้ เรายื่นกระติกใส่เบียร์ให้เธอ เราใส่ไส้กรอกลงในถ้วยบะหมี่ ผลัดกันยื่นถ้วยบะหมี่กับกระติก พระจันทร์โผล่ขึ้นมาอยู่บนหลังคาเซเว่น เกือบเต็มดวง เราชี้ให้เธอดู
“พระจันทร์คืนนี้สวยจัง” เราบอกเธอ บอกเธอว่าเราไม่ได้ทานมาม่ามานานทีเดียว เธอบอกเธอทานบ่อยๆ
กระทั่งมาม่าของเธอหมดถ้วย เราถามว่าจะเอาอีกไหม เธอไม่เอาแต่เห็นเราอยากทานอีก เลยให้เราไปซื้ออีกถ้วย เอารสต้มยำนะเธอบอกเพราะเห็นเราบอกเธอตั้งแต่ทีแรกว่ารสต้มยำน้ำข้นอร่อย เราไปซื้อมาอีกถ้วยพร้อมกับเอาสาหร่ายซองมาใส่ด้วย
ระหว่างที่เรานั่งทานถ้วยที่สองนั้น เธอสาละวนอยู่กับการหารูปในโทรศัพท์ให้เราดู มือเธอกดหารูปไป ปากก็จ๋อยๆ เล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับรูปที่หา รูปเจ้าพุงๆ รูปแก้มอ้วนๆ รูปไข่ตุ๋น ในแต่ละรูปก็มีเรื่องราวของมัน
เรื่องเยอะแหละ เพราะเราเองก็ฟังไปทานไป จนม่ามาอีกถ้วยเกือบหมด เราถึงนึกได้ เธอยังคงเล่าอยู่
“เพลินเลยอ่ะ จะหมดแล้ว” เราพูดเมื่อยื่นถ้วยมาม่าให้เธอ
“โหย...คนเดียวเลย ไม่แบ่งเลย” เธอโวยวาย เมื่อรับถ้วยไป
“ก็เพลินอ่ะ” เราตอบพร้อมยิ้มแหยๆ ก่อนจะหยิบกระติกมาดูดไฮเนเก้นในนั้น
“ดูซิ ไหนใส่สาหร่ายไปก็กินคนเดียวเลย” เธอบ่นต่อ
เรานั่งคุยกัน เราบอกเธอว่า มื้อนี้เป็นมาม่ามื้อที่อร่อยมาก เรานับมาม่านี้เป็นก๊วยเตี๋ยวด้วยได้ไหม เราจะได้เอามาเขียนลงในนี้ เธออนุญาต
ก่อนจะบอกว่าปวดฉี่ ค่ำแล้วห้องน้ำตามริมหาดก็ปิดหมดแล้ว เราเลยย้ายไปนั่งกันต่อที่ร้านลาพลาย่า คืนนี้มีโต๊ะเราอยู่โต๊ะเดียวในร้าน เรานั่งกันจนดึกดื่น กระทั่งร้านจะปิด ทางร้านขอเช็คบิลก่อน แล้วปล่อยให้เราสองคนนั่งกันต่อ โดยที่เขาปิดร้านหมดแล้ว เมื่อเราจะกลับกัน เธอก็ปวดฉี่อีกครั้ง
01.44/21/10/230 อาทิตย์
ปล.ทานเมื่อคืนวันที่ 2ลาพลาย่า, 4ยักษ์, 12-13, 17กะทิ, 18กลางคืนบิน น่าจะเขียนได้ดีกว่านี้ ก็อย่างที่รู้
วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
ชามที่ 13 : เตี๋ยวเป็ด-เตี๋ยวไข่ ราชบุรี
“โอ๊ย หิว หิว หิว” เสียงเธอบ่นในรถ ระหว่างที่กำลังเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
“แวะกินเตี๋ยวอะไรก็ได้ง่ายๆ นะ” เธอบอกอีก
เรานั่งมองป้ายโฆษณาข้างทาง เพื่อดูว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวบ้างไหม
“แถวนี้มีก๊วยเตี๋ยวไข่ต้มยำด้วยนะ”
“อ้าว…ทานได้เหรอ” เราท้วงเพราะเธอไม่ทานไข่ที่ไม่สุก และอีกอย่าง
อันนี้ต้องกระซิบเลยนะ อย่าให้เธอรู้เชียวว่าเราบอก ไข่แดงเธอก็ไม่ทานล่ะ ถึงจะสุกก็เถอะ
พอเราท้วงไปอย่างนั้นเธอก็บอกเราว่า “ก็เห็นว่าอยากทานนี่”
“ก็มันเลยมาแล้วนี่ร้านนั้นอยู่ตรงร้านขายของชำที่เราแวะซื้อน้ำเมื่อกี๊ไง”
“รู้แล้ววววว” เธอลากเสียงยาว แล้วพูดต่อ
“แถวนี้มันก็มีก๊วยเตี๋ยวไข่ทั้งนั้นแหละ มันเป็นเทรนนะเทรน รู้จักไหม”
“เหรอ ก็ไม่รู้นี่”
พอรถเลี้ยวออกจากวงเวียนเธอชะลอรถเมื่อเห็นร้านก๊วยเตี๋ยวร้านหนึ่ง
“เอาไหม” เธอถาม
“ไม่เอาอ่ะ” “ไม่เอาดีกว่า” เราสองคนพูดเกือบจะพร้อมกัน
แล้วก็ขับรถเลยออกมา
“รู้ไหมก๊วยเตี๋ยวอร่อย เขาดูที่ไหน” เราถามเธอ
“คนทานเยอะๆ เหรอ”
“ไม่ใช่ เขาดูที่ตู้”
“ตู้ก๊วยเตี๋ยวน่ะเหรอ”
“ช่ายยย ต้องเป็นตู้ไม้ เมื่อกี๊ตู้อลูมิเนียม ร้านใหม่ ต้องตู้ไม้แปลว่าเป็นร้านเก่าเปิดมานานแล้ว อร่อย ขายดีถึงได้อยู่มาได้นาน” เราอธิบาย
แล้วก็เล่าให้เธอฟังถึงเรื่องที่รุ่นพี่ตอนที่เราทำงานเขื่อนที่สอนให้กินลาบเลือด รุ่นพี่คนนั้นบอกเราว่า “ต้องหม้อเขึยวถึงจะอร่อย”
ตอนนั้นเราก็งงกับคำว่า “หม้อเขียว” ของเขา กระทั่งเดินไปซื้อที่ตลาดด้วยกันแล้วพี่เขาชี้ให้ดู “หม้อเขียว” ที่ว่า
“นี่ไง อย่างนี้แหละหม้อเขียว” พี่ชี้ให้ดูพร้อมสั่งลาบเลือดที่อยู่ในหม้อเขียวนั้นกับแม่ค้า แล้วหันมาบอกเราว่า
“หม้อเขียวเนี่ยมันเป็นหม้อรุ่นเก่า ถ้าขาวๆ แบบนู้นน่ะมันใหม่ ถ้าเก่าก็แสดงว่าเขาขายมานานแล้วใช่ไหม”
เราพยักหน้าหร้อมกับตอบ “ครับ”
“ก็เพราะอร่อยไง ถึงได้ขายมาได้นานขนาดนี้”
เราถึงได้รู้ว่า หม้ออวยที่เขาใส่ลาบเลือดเนี่ย มีสีที่เคลือบสองแบบ สีเขียวกับสีขาวอย่างที่พี่เขาว่า แต่สีขาวที่จริงมันก็ไม่ขาวหรอกนะ จะออกเหลืองนวลๆ มากกว่า แล้วสีเขียวเนี่ยมันเป็นรุ่นเก่ากว่าสีขาว ที่จริงก็มีอีกสีนะ อันนี้สีจะขาวเลย แล้วก็เขียนลายดอกไม้ด้วย แต่เราไม่ค่อยเห็นเขาเอาหม้อแบบนี้มาใส่ลาบนะ
กลับมาเรื่องก๊วยเตี๋ยวของเราต่อดีกว่า
จากนั้นเธอก็ขับมาเรื่อยๆ จนเจออีกร้านหนึ่ง ใหญ่โตทีเดียว
ดูเหมือนจะเป็นที่พักของรถนำเที่ยวด้วย มีที่จอดรถกว้างขวาง
พอโฉบเข้าไป ร้านเงียบๆ อย่างไรไม่รู้ ไม่ค่อยมีอะไรขาย
ไม่เห็นเหมือนป้ายรายการอาหารที่หน้าร้านเลย
เธอขับรถต่อไปอีก แล้วก็บ่นเล็กๆ ด้วยเสียงเล็กๆ
“หิว หิว หิว”
เราหันไปยิ้มกับริมฝีปากเล็กๆ นั้น เธอหันมาเห็นพอดี
“ทำไม ยิ้มอะไร” เธอถาม
“ยิ้มปากเล็กๆ ขมุบขมิบ ขี้บ่นๆ” เราตอบเธอทั้งยิ้ม
“ก็เค้าหิวนี่ เมื่อเช้าเค้าทานนิดเดียวเอง ถูกไอ้ตัวเนียะ ตัวเนียะ มันแย่ง” เธอพูดพร้อมกับเอานิ้วชึ้มาจิ้มๆ ที่ไหล่เรา
“เอ้า หาว่าเค้าแย่งซะงั้น”
“ก็จริงป่ะล่ะ”
“จ้าาาาาา”
“นั่นๆ มีบะหมี่ปูด้วย” เราอ่านป้ายที่ตั้งข้างถนน
“ไม่ใช่เลยมาแล้วอีกนะ” เธอพูดถึงร้านก่อนที่เราอ่านแล้วก็ขับเลย
“ยังหรอก ถ้าเขาเอาป้ายตั้งหน้าร้านเลยก็โง่แล้ว อ่านปุ๊บขับเลยปั๊บ ไม่หรอก เดี๋ยวคงถึงแหละ”
แต่ผ่านป้ายนั้นมาตั้งนานก็ยังไม่เห็นร้านนั้นเลย
“เออ สงสัยเขาจะโง่จริงๆ ด้วยล่ะ” เราเปรย
“นี่ๆ ก๊วยเตี๋ยวเป็ด ก๊วยเตี๋ยวไข่ อาหารตามสั่ง” เราอ่านอีกป้าย
“ยังไม่ถึง เขาบอกอีก 500 เมตร” เราบอกอีก
“เลยยังเนี่ย” เธอถามเมื่อเลยป้ายมาได้หน่อยหนึ่ง
“ยัง เพิ่งสัก 200 เมตรได้มั๊ง” เราตอบ
“นั่นไง ถึงแล้ว”
เราเลี้ยวตามรถคันหน้าเข้าไปจอด แต่รถคันหน้าจอดคร่อมช่องจอด
ตอนแรกกะจะจอดอีกช่องข้างๆ กัน ก็เลยต้องถอยมาจอดอีกช่องหนึ่ง
เธอแอบบ่นรถคันนั้นนิดนึง ^_^
ตอนนี้เราจำชื่อร้านนั้นไม่ได้แล้วล่ะ เป็นร้านที่มีส่วนที่ขายของของโครงการหลวงดอยตุงด้วย
ร้านก๊วยเตี๋ยวจะอยู่ข้างๆ ของร้านขายของ มีตู้ก๊วยเตี๋ยวสองตู้ ตู้หนึ่งเป็นของก๊วยเตี๋ยวไข่ต้มยำและอาหารตามสั่ง ส่วนอีกตู้เป็นก๊วยเตี๋ยวเป็ด
เธอสั่งเส้นเล็กเป็ดแล้วก็ใส่กึ๋น ส่วนเราสั่งเส้นหมี่ไข่ต้มยำ แล้วก็สั่งน้ำผึ้งมะนาว 2 แก้ว
พอน้ำมาเสริฟ เธอบอกไม่ค่อยเปรี้ยว “ไม่เป็นไร ช่วงนี้มะนาวแพง”
แล้วเธอก็เล่าถีงร้านกาแฟของรุ่นน้องว่า เวลาเธอไปสั่งก็จะบอกให้น้องทำให้ได้รสเข้มคงที่
แล้วก็ยกตัวอย่างกาแฟซึ่งปรกติเธอจะทานเข้ม ก็จะบอกให้น้องใส่กาแฟเพิ่ม น้องก็จะคิดค่ากาแฟเพิ่มด้วย
ก๊วยเตี๋ยวของเราได้ก่อน ผิดหวังนิดหน่อยที่ใส่ไข่ต้มมาแค่ครึ่งฟอง แล้วไข่แดงยังสุกอีกต่างหาก น่าจะเป็นยางมะตูมเนอะ
แล้วพอชามของเธอมา คนขายผู้หญิงวางชามพร้อมกับพูดว่า
“สงสัยจะทำผิด ใส่ตับมาให้” แล้วก็พูดต่อ “เดี๋ยวเอาไปเปลี่ยนใหม่ให้นะ”
เราได้แต่นั่งนึกในใจ ก็ทั้งรู้อย่างนั้นแล้วยังจะยกมาอีก งงกับเขาจริงๆ
ตอนที่เราปรุงแล้วก็เอาตะเกียบคลุกให้เครื่องปรุงเข้ากัน
ระหว่างนั้นไข่แดงก็หลุดออกจากไข่ขาว มีแต่ไข่ขาวเปล่าๆ
เราตักให้เธอ เธอทานหมดเลยล่ะ แล้วก็มื้อนี้เธอไม่ได้แบ่งให้เราด้วย
ไม่เหมือนกับทุกครั้ง ที่เธอมักจะตักนู่นตักนี่ให้เรา
เราดีใจนะที่มื้อนี้เธอทานได้เยอะ ทานหมดชามเลย
เธอจะรู้ไหม เราอยากให้เธอทานได้เยอะๆ อย่างนี้ทุกมื้อเลยนะ
3.38/28/5/230 จันทร์
“แวะกินเตี๋ยวอะไรก็ได้ง่ายๆ นะ” เธอบอกอีก
เรานั่งมองป้ายโฆษณาข้างทาง เพื่อดูว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวบ้างไหม
“แถวนี้มีก๊วยเตี๋ยวไข่ต้มยำด้วยนะ”
“อ้าว…ทานได้เหรอ” เราท้วงเพราะเธอไม่ทานไข่ที่ไม่สุก และอีกอย่าง
อันนี้ต้องกระซิบเลยนะ อย่าให้เธอรู้เชียวว่าเราบอก ไข่แดงเธอก็ไม่ทานล่ะ ถึงจะสุกก็เถอะ
พอเราท้วงไปอย่างนั้นเธอก็บอกเราว่า “ก็เห็นว่าอยากทานนี่”
“ก็มันเลยมาแล้วนี่ร้านนั้นอยู่ตรงร้านขายของชำที่เราแวะซื้อน้ำเมื่อกี๊ไง”
“รู้แล้ววววว” เธอลากเสียงยาว แล้วพูดต่อ
“แถวนี้มันก็มีก๊วยเตี๋ยวไข่ทั้งนั้นแหละ มันเป็นเทรนนะเทรน รู้จักไหม”
“เหรอ ก็ไม่รู้นี่”
พอรถเลี้ยวออกจากวงเวียนเธอชะลอรถเมื่อเห็นร้านก๊วยเตี๋ยวร้านหนึ่ง
“เอาไหม” เธอถาม
“ไม่เอาอ่ะ” “ไม่เอาดีกว่า” เราสองคนพูดเกือบจะพร้อมกัน
แล้วก็ขับรถเลยออกมา
“รู้ไหมก๊วยเตี๋ยวอร่อย เขาดูที่ไหน” เราถามเธอ
“คนทานเยอะๆ เหรอ”
“ไม่ใช่ เขาดูที่ตู้”
“ตู้ก๊วยเตี๋ยวน่ะเหรอ”
“ช่ายยย ต้องเป็นตู้ไม้ เมื่อกี๊ตู้อลูมิเนียม ร้านใหม่ ต้องตู้ไม้แปลว่าเป็นร้านเก่าเปิดมานานแล้ว อร่อย ขายดีถึงได้อยู่มาได้นาน” เราอธิบาย
แล้วก็เล่าให้เธอฟังถึงเรื่องที่รุ่นพี่ตอนที่เราทำงานเขื่อนที่สอนให้กินลาบเลือด รุ่นพี่คนนั้นบอกเราว่า “ต้องหม้อเขึยวถึงจะอร่อย”
ตอนนั้นเราก็งงกับคำว่า “หม้อเขียว” ของเขา กระทั่งเดินไปซื้อที่ตลาดด้วยกันแล้วพี่เขาชี้ให้ดู “หม้อเขียว” ที่ว่า
“นี่ไง อย่างนี้แหละหม้อเขียว” พี่ชี้ให้ดูพร้อมสั่งลาบเลือดที่อยู่ในหม้อเขียวนั้นกับแม่ค้า แล้วหันมาบอกเราว่า
“หม้อเขียวเนี่ยมันเป็นหม้อรุ่นเก่า ถ้าขาวๆ แบบนู้นน่ะมันใหม่ ถ้าเก่าก็แสดงว่าเขาขายมานานแล้วใช่ไหม”
เราพยักหน้าหร้อมกับตอบ “ครับ”
“ก็เพราะอร่อยไง ถึงได้ขายมาได้นานขนาดนี้”
เราถึงได้รู้ว่า หม้ออวยที่เขาใส่ลาบเลือดเนี่ย มีสีที่เคลือบสองแบบ สีเขียวกับสีขาวอย่างที่พี่เขาว่า แต่สีขาวที่จริงมันก็ไม่ขาวหรอกนะ จะออกเหลืองนวลๆ มากกว่า แล้วสีเขียวเนี่ยมันเป็นรุ่นเก่ากว่าสีขาว ที่จริงก็มีอีกสีนะ อันนี้สีจะขาวเลย แล้วก็เขียนลายดอกไม้ด้วย แต่เราไม่ค่อยเห็นเขาเอาหม้อแบบนี้มาใส่ลาบนะ
กลับมาเรื่องก๊วยเตี๋ยวของเราต่อดีกว่า
จากนั้นเธอก็ขับมาเรื่อยๆ จนเจออีกร้านหนึ่ง ใหญ่โตทีเดียว
ดูเหมือนจะเป็นที่พักของรถนำเที่ยวด้วย มีที่จอดรถกว้างขวาง
พอโฉบเข้าไป ร้านเงียบๆ อย่างไรไม่รู้ ไม่ค่อยมีอะไรขาย
ไม่เห็นเหมือนป้ายรายการอาหารที่หน้าร้านเลย
เธอขับรถต่อไปอีก แล้วก็บ่นเล็กๆ ด้วยเสียงเล็กๆ
“หิว หิว หิว”
เราหันไปยิ้มกับริมฝีปากเล็กๆ นั้น เธอหันมาเห็นพอดี
“ทำไม ยิ้มอะไร” เธอถาม
“ยิ้มปากเล็กๆ ขมุบขมิบ ขี้บ่นๆ” เราตอบเธอทั้งยิ้ม
“ก็เค้าหิวนี่ เมื่อเช้าเค้าทานนิดเดียวเอง ถูกไอ้ตัวเนียะ ตัวเนียะ มันแย่ง” เธอพูดพร้อมกับเอานิ้วชึ้มาจิ้มๆ ที่ไหล่เรา
“เอ้า หาว่าเค้าแย่งซะงั้น”
“ก็จริงป่ะล่ะ”
“จ้าาาาาา”
“นั่นๆ มีบะหมี่ปูด้วย” เราอ่านป้ายที่ตั้งข้างถนน
“ไม่ใช่เลยมาแล้วอีกนะ” เธอพูดถึงร้านก่อนที่เราอ่านแล้วก็ขับเลย
“ยังหรอก ถ้าเขาเอาป้ายตั้งหน้าร้านเลยก็โง่แล้ว อ่านปุ๊บขับเลยปั๊บ ไม่หรอก เดี๋ยวคงถึงแหละ”
แต่ผ่านป้ายนั้นมาตั้งนานก็ยังไม่เห็นร้านนั้นเลย
“เออ สงสัยเขาจะโง่จริงๆ ด้วยล่ะ” เราเปรย
“นี่ๆ ก๊วยเตี๋ยวเป็ด ก๊วยเตี๋ยวไข่ อาหารตามสั่ง” เราอ่านอีกป้าย
“ยังไม่ถึง เขาบอกอีก 500 เมตร” เราบอกอีก
“เลยยังเนี่ย” เธอถามเมื่อเลยป้ายมาได้หน่อยหนึ่ง
“ยัง เพิ่งสัก 200 เมตรได้มั๊ง” เราตอบ
“นั่นไง ถึงแล้ว”
เราเลี้ยวตามรถคันหน้าเข้าไปจอด แต่รถคันหน้าจอดคร่อมช่องจอด
ตอนแรกกะจะจอดอีกช่องข้างๆ กัน ก็เลยต้องถอยมาจอดอีกช่องหนึ่ง
เธอแอบบ่นรถคันนั้นนิดนึง ^_^
ตอนนี้เราจำชื่อร้านนั้นไม่ได้แล้วล่ะ เป็นร้านที่มีส่วนที่ขายของของโครงการหลวงดอยตุงด้วย
ร้านก๊วยเตี๋ยวจะอยู่ข้างๆ ของร้านขายของ มีตู้ก๊วยเตี๋ยวสองตู้ ตู้หนึ่งเป็นของก๊วยเตี๋ยวไข่ต้มยำและอาหารตามสั่ง ส่วนอีกตู้เป็นก๊วยเตี๋ยวเป็ด
เธอสั่งเส้นเล็กเป็ดแล้วก็ใส่กึ๋น ส่วนเราสั่งเส้นหมี่ไข่ต้มยำ แล้วก็สั่งน้ำผึ้งมะนาว 2 แก้ว
พอน้ำมาเสริฟ เธอบอกไม่ค่อยเปรี้ยว “ไม่เป็นไร ช่วงนี้มะนาวแพง”
แล้วเธอก็เล่าถีงร้านกาแฟของรุ่นน้องว่า เวลาเธอไปสั่งก็จะบอกให้น้องทำให้ได้รสเข้มคงที่
แล้วก็ยกตัวอย่างกาแฟซึ่งปรกติเธอจะทานเข้ม ก็จะบอกให้น้องใส่กาแฟเพิ่ม น้องก็จะคิดค่ากาแฟเพิ่มด้วย
ก๊วยเตี๋ยวของเราได้ก่อน ผิดหวังนิดหน่อยที่ใส่ไข่ต้มมาแค่ครึ่งฟอง แล้วไข่แดงยังสุกอีกต่างหาก น่าจะเป็นยางมะตูมเนอะ
แล้วพอชามของเธอมา คนขายผู้หญิงวางชามพร้อมกับพูดว่า
“สงสัยจะทำผิด ใส่ตับมาให้” แล้วก็พูดต่อ “เดี๋ยวเอาไปเปลี่ยนใหม่ให้นะ”
เราได้แต่นั่งนึกในใจ ก็ทั้งรู้อย่างนั้นแล้วยังจะยกมาอีก งงกับเขาจริงๆ
ตอนที่เราปรุงแล้วก็เอาตะเกียบคลุกให้เครื่องปรุงเข้ากัน
ระหว่างนั้นไข่แดงก็หลุดออกจากไข่ขาว มีแต่ไข่ขาวเปล่าๆ
เราตักให้เธอ เธอทานหมดเลยล่ะ แล้วก็มื้อนี้เธอไม่ได้แบ่งให้เราด้วย
ไม่เหมือนกับทุกครั้ง ที่เธอมักจะตักนู่นตักนี่ให้เรา
เราดีใจนะที่มื้อนี้เธอทานได้เยอะ ทานหมดชามเลย
เธอจะรู้ไหม เราอยากให้เธอทานได้เยอะๆ อย่างนี้ทุกมื้อเลยนะ
3.38/28/5/230 จันทร์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)